หน้าแรก / การจัดการความรู้ / การจัดการความรู้ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 / กลุ่มบุคลากรสายวิชาการ / การเขียนบทความวิจัยเพื่อตีพิมพ์ในวารสารระดับชาติหรือระดับนานาชาติ
|
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1. ความเป็นมาและเหตุผล/สภาพปัญหาและอุปสรรค (สรุปโดยย่อ) การตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานวิจัย มีบทบาทสำคัญต่อแวดวงการศึกษาอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นวิธีการที่นำเสนอผลงานวิชาการออกสู่สาธารณะชนได้อย่างกว้างขวาง และถือเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งหากบทความวิจัยของตนได้รับการยอมรับจากกองบรรณาธิการของวารสาร แต่ทว่า......ที่ผ่านมา อาจารย์และบุคลากรเคยตีพิมพ์บทความวิชาการ/วิจัย ลงในวารสาร ทั้งระดับชาติ และระดับนานาชาติผ่านมาหลายปีแล้วก็ยังคงไม่ได้มีผลการดำเนินการที่น่าพึงพอใจนัก จากการสะท้อนความคิดของปัญหาที่ผ่านมาหลายปี อาจารย์ส่วนหนึ่งยังไม่สามารถเข้าใจอย่างชัดเจนในเรื่องดังต่อไปนี้ เช่น สิ่งใดคือ 1) สิ่งที่ วารสารระดับนานาชาติ ต้องการ /มองหาในบทความวิจัยที่ดี มีคุณภาพ 2) สิ่งใด คือ ปัญหาและอุปสรรคสำคัญในการจะตีพิมพ์บทความลงใน วารสารระดับนานาชาติ 3) ขาดการวางแผนว่าจะต้องต้องใช้ระยะเวลานานสักเท่าใด ในการตีพิมพ์บทความ 1 เรื่ อง ใน วารสารระดับนานาชาติ 4) ปัญหาและอุปสรรคของการตีพิมพ์บทความ เช่น คุณภาพของบทความวิจัย ทักษะด้านภาษาอังกฤษเพื่อเขียนงานทางวิชาการ 5) การไม่ศึกษา อ่านระเบียบ/ประกาศ/คำสั่ง/คู่มือ ให้เข้าใจ 6) กองบรรณาธิการ / ผู้ทรงคุณวุฒิ ที่มีความคิด ในการพิจารณาไม่เป็นไปตามความคาดหวังของผู้ส่งบทความวิจัย ไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็นที่ผู้ส่งบทความวิจัยนำเสนอเลย 7) ในปัจจุบันวารสารวิชาการมีจํานวนมากซึ่งมีคุณภาพและมาตรฐานแตกต่างกันไป (มีตั้งแต่ระดับง่ายจนถึงยากมาก และใช้เวลาในการพิจารณาหลายเดือนถึงเป็นปี 8) บนเว็บไซต์ของสำนักพิมพ์ ไม่ระบุสถานที่ตั้งของสำนักงานที่ชัดเจน ที่อยู่สำหรับการติดต่อไม่ครบถ้วน หมายเลขโทรศัพท์ติดต่อไม่ได้ บางแห่งแจ้งไว้เพียงอีเมลเท่านั้น มักเป็นสำนักพิมพ์เปิดใหม่ในลักษณะ online only บนอินเทอร์เน็ต เพิ่งเริ่มผลิตวารสารภายในระยะเวลาเพียง 1-2 ปี และส่วนใหญ่มาจากประเทศแถบตะวันออกกลาง แอฟริกา หรือเอเชียใต้ เช่น อินเดีย ปากีสถาน (อาจเนื่องมาจากค่าจ้างแรงงานต่ำกว่าในยุโรปและอเมริกา) อาจทำให้อาจารย์ผิดหวัง เสียเวลา และหมดกำลังใจ ดังนั้น นักวิจัยจึงควรเพิ่มความระมัดระวังในการคัดเลือกสำนักพิมพ์วารสารที่ใช้ในการนำเสนอผลงาน ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับประวัติของตัวนักวิจัยเอง หากต้องนำผลงานตีพิมพ์ไปใช้ประโยชน์เพื่อความก้าวหน้าในชีวิตการทำงาน เช่น การประเมินผลงานทางวิชาการ การขอทุนวิจัย หรือขอรับรางวัล 2. วัตถุประสงค์ 1. เพื่อค้นหาแนวปฏิบัติที่ดี (องค์ความรู้) จากที่อยู่ในตัวบุคคล และแหล่งเรียนรู้อื่นๆ ที่ครอบคลุมด้านการจัดการเรียนการสอนและการวิจัย พร้อมทั้งนำมาจัดเก็บอย่างเป็นระบบ และเผยแพร่ออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร 2. เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้บุคลากรนำแนวปฏิบัติที่ดีมาปรับใช้ในการปฏิบัติงานจริง 3. ลักษณะงานที่ปฏิบัติ สภาพการปฏิบัติงานใหม่ 4. แนวคิด/ขั้นตอน/วิธีการ (สรุป) R การลดขั้นตอน/ระยะเวลาการดำเนินงาน R ลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน £ พัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงาน £ สร้างประโยชน์และความพึงพอใจแก่ผู้รับบริการ 5. ข้อควรระวัง (ถ้ามี) สิ่งที่ไม่ควรทำในการเขียนบทความวิจัย 1) บทความที่ไม่มีประโยชน์ต่อสังคมและต่อแวดวงวิชาการ เช่น งานที่ศึกษาอยู่ในหน่วยงานของตนเอง บุคคลภายนอก และสาธารณชนไม่สามารถใช้ประโยชน์จากงานนั้นๆ ได้ 2) เป็นบทความที่ผิดหลักวิชาการ เช่น งานที่ไม่มีการอ้างอิงที่ถูกต้อง ไม่มีการใช้วิธีการวิจัยที่เหมาะสมไม่มีเหตุมีผลในงานชิ้นนั้นๆ 3) ไม่ตรงกับหัวข้อ คืองานที่มีหัวข้ออย่างหนึ่งแต่นำเสนอเนื้อหาอีกอย่างหนึ่งนั่นเอง 4) โครงสร้างในการเขียนไม่ดี คืองานที่มีลำดับการเล่าเรื่องที่ผิดพลาด อ่านแล้วไม่สามารถเข้าใจเรื่องราวได้ สื่อสารไม่ชัดเจน ไม่มีประเด็นหลักในการเขียน 5) มีข้อบกพร่องมากเกินไป บางครั้งบทความอาจถูกพิจารณาให้ตกเพราะการไม่จัดหน้ากระดาษให้ดี พิมพ์ผิดมากเกินไป จัดรูปแบบบทความไม่สมบูรณ์ เพราะผู้พิจารณาบทความจำไม่มาเสียเวลาในการพิสูจน์อักษรให้กับเรา ถ้าเรื่องแค่นี้ไม่สามารถทำได้ ก็ต้องตกไป 6) ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง คืองานที่อ้างอิงของคนอื่นมากจนเกินไป 10 หน้า เป็นการอ้างคนอื่นไป 6. เคล็ดลับ/เทคนิคพิเศษ (Tips and Tricks) (สรุปโดยย่อ) - องค์ความรู้ที่อยู่ภายในองค์กร ที่อยู่ภายในตัวบุคคล best practice คือ ดร.ชญานันท์ ที่มีความรู้เรื่องของการตีพิมพ์เผยแพร่งานวิจัยในฐาน Scopus อยู่ - จัดกิจกรรม Km โดยไปดึงผู้รู้ คือ ดร.ชญานันท์ เข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แบ่งปันความรู้ให้กับอาจารย์ที่ยังไม่มีประสบการณ์ หรือมีประสบการณ์อยู่แล้วบางส่วน ทุกคนสรุปประเด็นของตัวเอง - ได้องค์ความรู้ไปทดลองใช้ เมื่อทดลองใช้ แล้วก็ไปเรียนรู้จากภายนอกเพิ่มเติม - นำความรู้ที่ได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน อีกครั้ง โดยมี best practice มาค่อยนำ กำกับ และหลังจากที่ได้ความรู้จาก best practice และที่ได้หาความรู้เพิ่มเติม เราก็ถอดบทเรียนที่ ได้ และสรุปรูปแบบที่เหมาะสม และใช้ได้จริง และสรุปเป็น อินโฟกราฟฟิคที่ได้ ประกอบด้วย ความรู้ภายใน และภายนอก - เนื่องจาก best practice เป็นบุคลากรในวิทยาลัยเอง ทำให้ช่องว่าง ความเกรงใจ ช่องว่างในการเข้าหาน้อย ซึ่งมีความเป็นกันเอง ทำให้อาจารย์สามารถเข้าปรึกษาได้ง่าย มีความเป็นมิตร เป็นกัลยาณมิตร - เรียนรู้เพิ่มเติม แล้วกลับมาพูดตุยกันอีก เพราะต่างคนต่างได้รับประสบการณ์เพิ่มเติม 7. ผลของการดำเนินงาน (Output) (สรุปโดยย่อ) กระบวนการการตีพิมพ์บทความวิชาการในวารสารระดับนานาชาติ ประกอบด้วย 1. การเตรียมบทความวิจัย 2. การคัดเลือกและตรวจสอบคุณภาพของวารสาร 3. ตรวจสอบคุณภาพบทความโดยผู้เชี่ยวชาญ 4. ส่งบทความไปตีพิมพ์ในวารสารที่มีคุณภาพ 5. ได้รับการตอบรับตีพิมพ์ 8. ผลลัพธ์ของการดำเนินงาน (Outcome) (สรุปโดยย่อ) กลุ่มล่าแสงเหนือได้ผลของการวิจัยมาต่อยอดเขียนเป็นบทความวิจัยจนได้รับการตีพิมพ์ ในวาร เพื่อให้ได้รับการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ จำนวน 9 บทความ 9. ประโยชน์ที่ได้รับ (สรุปโดยย่อ) กระบวนการการตีพิมพ์บทความวิชาการในวารสารระดับนานาชาติ ประกอบด้วย 1. การเตรียมบทความวิจัย 2. การคัดเลือกและตรวจสอบคุณภาพของวารสาร 3. ตรวจสอบคุณภาพบทความโดยผู้เชี่ยวชาญ 4. ส่งบทความไปตีพิมพ์ในวารสารที่มีคุณภาพ 5. ได้รับการตอบรับตีพิมพ์ 10. ปัจจัยแห่งความสำเร็จ (สรุปโดยย่อ) 1. วิทยากร-ผู้ทรงภายในองค์กร มีความเชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์ ได้รับเป็นวิทยากรของสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา และเป็นวิทยากรภายนอก ให้กับคณะบัญชี มหาวิทยาลัยศรีปทุม 2. อาจารย์ของเราพัฒนาตนเองจากกิจกรรมกลุ่มการจัดการความรู้ และนำความรู้ที่ได้ไปแชร์ให้กับเพื่อนร่วมงาน จนสามารถพัฒนาบทความและส่งตีพิมพ์ในวารสารระดับนานาชาติได้ 11. แนวทางการพัฒนาในอนาคต (สรุปโดยย่อ) กลุ่มล่าแสงเหนือ มีแนวทางเพื่อนำไปปฏิบัติ ด้านนวัตกรรมที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานที่ดีขึ้น โดยเลือก TikTok แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นมาแรงแห่งยุค เป็นพื้นที่สำหรับคอนเทนต์เพื่อความบันเทิงที่ได้สร้างความสุขให้กับผู้คน เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีความหลากหลายมากขึ้น ผ่านแคมเปญ #TikTokUni |
|
||
Research_211002201416.pdf (211 kb) |